ย้อนกลับ

"อากาศก็มีอยู่เยอะ...ทำไมแม่หายใจไม่ออก?"

วันที่พาแม่ไปโรงพยาบาล คำที่แม่เอ่ยขึ้นทำให้เราสะอึก  " อากาศก็มีอยู่เยอะทำไมแม่หายใจไม่ออก? "  หมอบอกว่า เนื้อปอดของแม่เหลือน้อยเกินไป เจ้าเซลล์มะเร็ง เติบโตกระจายอยู่ทั่วปอดของแม่ ในช่วงท้ายๆของชีวิต แม่ต้องพึ่งพาถังออกซิเจนตลอดเวลาในบ้านมีถังออกซิเจน อยู่เป็นจุดๆ รวมถึงในห้องน้ำเวลาย้ายที่ แม่ต้องลากถังออกซิเจนไปหรือไม่ก็สลับสายไปใช้อีกถัง คือกระโดดจากถังหนึ่งไปอีกถังหนึ่ง

แม่เป็นคนเข้มแข็ง ดูแลสุขภาพมาตลอด กินอาหารชีวจิต ขนาดช่วงป่วยให้คีโมยังลุกขึ้นมาทำอาหารให้พ่อกินเอง  เพราะอาหารที่พ่อชอบมากที่สุดคืออาหารที่แม่ทำ แต่คีโมทำให้เนื้อเยื่อในปากถูกทำลาย การรับรสเปลี่ยนไป แม่ออกตัวบ่อยๆว่าอาจไม่อร่อยนะแต่เราก็ว่าอร่อยขั้นเทพ ทุกที กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่แม่เคยหอมกลับกลายเป็น กลิ่นที่เหม็น เหม็นสารพัดอย่าง เหม็นข้าวสวย และที่ขำ ๆ คือเหม็นพ่อ แม่ยังต้องหลีกเลี่ยงแดดเพราะผิวจะคล้ำดำ ไวต่อแสงมากขึ้นพ่อช่วยต้มน้ำใบย่านางให้แม่แช่มือแช่เท้า ทุกวันส่วนเราทำน้ำผักผลไม้อินทรีย์ให้แม่ดื่มวันละสามมื้อ เพื่อบำรุงร่างกาย

ปีกว่าแห่งความเจ็บปวดและเหนื่อยล้า แต่ว่าคุ้มค่า

พวกเราดูแลแม่เต็มที่ตลอด 1 ปีกว่าที่เต็มไปด้วยความทรงจำ คีโมหกเข็ม ต่อด้วยยามุ่งเป้า แต่โรคนี้ค่อย ๆ กัดกินร่างกายของแม่ทีละนิด ต้องนอนหัวสูง นอนราบไม่ได้เพราะหายใจไม่ออก แม่ไอหนักจนนอนไม่ได้ เราลองใช้ผลมะขามป้อมสดตำคั้นน้ำผสมเกลือให้แม่จิบวันละสามมื้อ อาการไอของแม่ดีขึ้น อาการของโรคก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ แต่ครอบครัวเล็กๆ ของเราไม่เคยยอมแพ้ ทุกคนช่วยกันดูแลแม่ แม่เคยถามเราว่าเหนื่อยมั้ยลูก ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ เพราะพวกเราอยากให้แม่หายป่วย หรือไม่ก็อยู่กับพวกเรานานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ระหว่างนั้น เราพยายามเรียนรู้การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ไปศึกษาแนวทางตามวิธีของหลวงพ่อไพศาล พระอาจารย์ที่ท่านเป็นวิทยากรแนะนำว่า "หากผู้ป่วยไม่สงบ ให้เอานิ้วแตะที่หน้าผากและลูบขึ้นไปที่ศีรษะ จะช่วยให้เขาผ่อนคลายได้" เราลองใช้กับแม่ในช่วงท้ายของชีวิตที่แม่เริ่มเพ้อดูกระวนกระวาย ก็ช่วยทำให้แม่สงบลง มีพ่อเป็นกำลังหลักในการเตือนให้แม่ภาวนา “พุทโธ”

ช่วงสุดท้ายของแม่: มะเร็งที่ลามไปถึงสมอง

แม่เข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้ายเพราะอาการชัก แม่มองมือที่กระตุกและบอกเราว่าควบคุมร่างกายไม่ได้ คุณหมอตรวจพบว่ามะเร็งลามไปสมองแม่ต้องไปฉายแสง ที่ศีรษะหลังจากนั้นแม่บ่นว่าร้อนจนถอดเสื้อผ้า แม่เริ่มเพ้อ บางครั้งพูดเป็นตัวเลข ยังจำได้ว่าแม่บอกเรา “52 นะลูก” เราก็นึกว่าแม่บอกหวย (หัวเราะ)ที่ไหนได้คุณนายแกชอบ เล่นซูโดคุ ในช่วงนั้นแม่บอกเราว่า “อย่าเพิ่งตายนะ อยู่ดูแม่ก่อน” ประโยคนี้ของแม่ทำให้เราจุกที่ใจ เพราะเราสัญญาไม่ได้ว่าเราจะไม่ตาย เลยได้แต่ตอบแม่ว่า แม่ไม่ต้องกลัว ถ้าลูกยังมีชีวิตอยู่จะดูแลแม่ต่อไป 

แม่เริ่มขยับร่างกายได้น้อยลงเรื่อยๆ และพูดไม่ได้ ทำได้แค่ลืมตาและกระพริบตาได้เท่านั้น มีอยู่คืนหนึ่งที่สีหน้าของแม่แสดงความเจ็บปวด แต่พูดไม่ได้ว่าปวดที่ไหน หมอให้ยาแต่แม่ยังปวดอยู่ สิ่งเดียวที่เรานึกออกในตอนนั้นคือ  ร้องเพลงกล่อมแม่   “…เป็นวิมานอยู่บนดิน ได้เธอได้พักพิงๆ และนอนหลับใหล เก็บดาวเก็บเดือนมาร้อยมาลัย เก็บหยาดน้ำค้างกลางไพร มาคล้องใจเราไว้รวมกัน...”

แม่ดูผ่อนคลายลงและหลับไปในที่สุด  แต่หลับไปได้แป๊บเดียวก็ถูกปลุกมาวัดความดันอีก คุณนายเธอก็เลยเจ็บต่อ

ในที่สุดแม่ก็หลับตา ดูเหมือนนอนหลับอยู่ตลอดเวลา แต่เรารู้ว่าแม่รู้สึกตัวอยู่ ได้ยินที่พวกเราคุยกัน แต่สื่อสารกับพวกเราไม่ได้ เราเคยอ่านเจอว่าการได้ยินจะเป็นส่วนสุดท้าย ที่ผู้ป่วยยังรับรู้ได้ก่อนจากไป

ในวันที่แม่จะจากไป

หมอตรวจม่านตาแล้วบอกว่า แม่ไม่ค่อยดีแล้วนะ  สีผิวที่ฝ่าเท้าเริ่มเป็นปื้นดำ มีเสียงครางดังแปลกๆ จากลำคอ ในช่วงที่แม่จากไป เส้นเลือดสีม่วงขึ้นทั่วใบหน้า เกิดจากออกซิเจนในเลือดไม่พอ เราตั้งสติสวดชยันโตให้แม่ ในขณะที่พ่อทนดูแม่จากไปไม่ได้ ต้องหลบออกไปอยู่นอกห้อง คงเป็นช่วงเวลาที่พ่อทำใจยากเพราะกว่าสี่สิบปีพ่อมีแม่อยู่เคียงข้างคอยดูแลมาตลอด แม่บอกว่า พ่อไม่เคยบอกว่ารักแม่เลย แต่พวกเรารู้ดีว่าพ่อรักแม่มากมายจากทุกสิ่งที่พ่อทำให้แม่ระหว่างที่แม่ป่วย

เราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว ดูแลกันจนไม่มีอะไรค้างคาใจ แม่เข้มแข็งมาก ตอนป่วยแรก ๆ พ่อเปิดแต่ธรรมะหลวงปู่ชาให้แม่ฟังทั้งวัน จนแม่บ่นว่า "เบื่อแล้ว!" (หัวเราะ) แม่เปลี่ยนไปดูหนังตลกบ้าง หัวเราะเฮฮา ฟังเพลงที่แม่ชอบ ทำกับข้าวผู้ป่วยมะเร็งแล้วถ่ายรูปอัพเฟสบุ๊คบ้าง ปลูกผักแจกเพื่อนบ้านบ้าง แม่เป็นคนที่มีเพื่อนเยอะเพราะแม่ชอบดูแลคนรอบข้าง แม้แต่ช่วงสุดท้ายแม่ยังอุตส่าห์ห่วงเตียงข้าง ๆ ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง

PM2.5 – ฆาตกรเงียบที่ทำลายลมหายใจของแม่และพ่อ

แม่จากไปก่อน...ไปพร้อมกับความมีชีวิตชีวาในบ้าน เราอยู่กันอย่างเหงาๆ แต่ก็ต้องปรับตัวกัน ต่อมาพ่อมีอาการไอแห้งๆ สั้นๆ เหมือนแพ้อากาศเพราะในช่วงหลังที่ใกล้ๆ บ้านมีเผาทุกวัน ส่งหนังสือร้องเรียนไปแล้วหลายครั้งหลายหน่วยงาน ปัญหาก็ไม่ยุติ พ่อมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป หงุดหงิดบ่อย โมโหง่ายจนเราสงสัยว่าอาจเป็นโรคทางสมองใน ผู้สูงวัย เลยพาพ่อไปหาหมอ แต่แค่เดินจากลานจอดรถไปคลินิกแค่ 10 เมตร พ่อก็เหนื่อยมาก

วันหนึ่งพ่อเหนื่อยมาก เราลองวัดชีพจร เมื่อนิ้วเราแตะชีพจรของพ่อ มีคำว่า “ระส่ำระสาย”ขึ้นมาในใจเรา ชีพจรพ่อเต้นไม่คงที่ อัตราการเต้นของหัวใจขึ้นไปร้อยกว่า เราเลยพาพ่อไปโรงพยาบาล คุณหมอฉีดสีตรวจหัวใจและพบว่า เส้นเลือดหัวใจเส้นตีบไปสามเส้น ผลจาก CT scan ยังพบว่า พ่อมีก้อนในปอดขนาดเกือบ 9 เซนติเมตร กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ และพบภาวะถุงลมโป่งพองด้วยทั้งที่พ่อไม่สูบบุหรี่ จากที่คิดว่าพ่อแค่แพ้อากาศเพราะละแวกบ้านมีการเผา แต่สุดท้ายก็เป็นสัญญาณของโรคร้ายที่กำลังลุกลาม อย่างเงียบๆ  “ทำไมพ่อเหนื่อยอย่างนี้” พ่อบอกเราตอนที่อยู่โรงพยาบาล

พ่ออยู่ที่โรงพยาบาลเพียงหกวันก่อนจะจากเราไป...อย่างสงบ ไม่มีใครคาดคิดว่าพ่อซึ่งแข็งแรงดูแลสุขภาพอย่างดี จะจากไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แม้กระทั่งตัวพ่อเองก็คงไม่คาดคิดว่าการเข้าโรงพยาบาล ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย  พ่อจากพวกเราไปอีกคนเพราะอากาศแย่ๆ ที่เราหายใจทุกวัน

ทุกโรคที่พ่อเป็นนี้ สาเหตุอย่างหนึ่งคือเกิดจากมลพิษอากาศ 

ในปีเดียวกันกับที่พ่อจากไป เราเสียเพื่อนรุ่นน้อง “นุ” รศ.ดร.ภาณุวรรณ จันทวรรณกูลเพราะมะเร็งปอด เช่นกัน ในช่วงท้ายของชีวิตนุก็บอกว่าเหนื่อยมาก และต้องใช้ออกซิเจนตลอดเหมือนกับแม ่และพ่อของเรา เราเห็นความเป็นไปของโรคนี้ในแม่ พ่อ และเพื่อน ดูพวกเขาค่อยๆ จากเราไป เราช่วยจัดงานของทั้งสามคน ในวัดเดียวกันเฝ้าดูควันแรกของพวกเขาจากปล่องเมรุ เดียวกันซ้ำๆ สามครั้ง เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย รวมกับอาการป่วยทางระบบทางเดินหายใจของตัวเรา เองที่เกิดจากอากาศคุณภาพห่วยๆทั้งที่บ้าน และที่ทำงานที่มีแทบทุกวันเป็นปีๆ การขอความช่วยเหลือ ในการแก้ไขปัญหามลพิษอากาศจากหน่วยงาน ที่รับผิดชอบที่แสนจะยากลำบากซ้ำเติมด้วยเทศกาล หมอกควันประจำปีเข้าไปอีกปีแล้วปีเล่าทั้งหมดรวมกัน เป็นความทุกข์สาหัส จนทำให้เราเคยมีความคิดว่า “จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม...” แต่เราก็ผ่านจุดนั้นมาได้ และหวังว่าคงไม่มีใครต้องมาเจอแบบเรา เราบอกเพื่อนๆ และตัวเองว่าอย่าได้ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดเลย เราเห็นคนที่เรารักเหนื่อยและทุกข์จากอากาศไม่พอเลี้ยง ชีวิตพอละ

วันนี้ แม่และพ่อ

เพื่อนอาจไม่อยู่แล้ว...แต่ปัญหามลพิษทางอากาศยังอยู่ พร้อมกับปัญหาระบบทางเดินหายใจของเราที่เพิ่มขึ้น เรื่อยๆ ทั้งไอเรื้อรัง ริดสีดวงจมูก แน่นหน้าอกถ้าอยู่ในที่อากาศเสีย ภูมิแพ้ที่ตา ผื่นขึ้นตามตัว เยอะเนอะ (หัวเราะ) เราป่วยบ่อย ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน แค่ไหนก็แค่นั้นละกัน (ยิ้ม) แต่เรายังมีความหวังว่าสักวันจะได้อากาศที่ใช้หายใจได้ดีๆ กลับมา

ลูกเอ๋ยลูกจ๋า อย่าเพิ่งตายหนา ขอเจ้าแก้วตา ช่วยดูแม่ก่อน แม่เอ๋ยแม่จ๋า ใจลูกร้าวรอน กอดแม่เอนนอน หวังให้ผ่อนคลาย

ลูกนั้นมิอาจ สัญญากับแม่ ชีวิตไม่แน่ แม้แต่ความตาย แต่ตราบลูกอยู่ จะดูแม่ต่อไป แม่จ๋าวางใจ ให้ลูกนำพา

หลับตาเถิดนะ ลูกยาจะกล่อม ขับร้องเพลงพร วอนดาวพร่างฟ้า โอบกอดแม่ไว้ เข้าสู่นิทรา เพื่อแม่ตื่นมา...ชมฟ้าวันใหม่

เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ของ อ.วนารักษ์ ไซพันธ์แก้ว